วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2
วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ.2561
เนื้อหาการเรียนรู้
       วันนี้เริ่มเรียนในเรื่อง การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย 




ความหมายของการบริหารการศึกษา( Education Administration )
          การบริหารการศึกษา แยกออกเป็น 2 คำ คือ การบริหาร และ การศึกษา ความหมายของ “การบริหาร” มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ทั้งคล้ายๆกันและแตกต่างกัน คือ
  • การบริหาร คือ ศิลปะของการทำงานให้สำเร็จโดยใช้บุคคลอื่น
  • การบริหาร คือ การทำงานของคณะบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่ร่วมกันปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
  • การบริหาร คือ การที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำงาน เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวกัน
** จากความหมายของ “การบริหาร” พอสรุปได้ว่า “การดำเนินงานของกลุ่มบุคคลเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้”

ส่วนความหมายของ “การศึกษา” มีผู้ให้ความหมายไว้คล้ายๆกัน ดังนี้
  • การศึกษา คือ ความเจริญงอกงาม ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
  • การศึกษา คือ การสร้างเสริมประสบการณ์ให้ชีวิต
  • การศึกษา คือ เครื่องมือที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามทุกทางในตัวบุคคล
** จากความหมายของ “การศึกษา” ข้างบนนี้พอสรุปได้ว่า “การพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี”
เมื่อนำความหมายของ “การบริหาร” มารวมกับความหมายของ “การศึกษา” ก็จะได้ความหมายของ
“การบริหารการศึกษา”    ว่า “การดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี”

ความหมายของการบริหารสถานศึกษา
     วีรชัย  วรรณศรี (2545) การบริหารสถานศึกษา หมายถึง กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกในสังคมให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
     วิโรจน์  สารัตนะ (2546) กล่าวว่า การการบริหารเป็นกระบวนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดหมายขององค์กร โดยอาศัยหน้าที่ทางการบริหารที่สำคัญประกอบด้วย การวางแผน (Planning) การจัดองค์กร (Organizing) การนำ (Leading) และการควบคุม(Controlling)
     เฉลิมชัย  สมท่า (2547)  กล่าวว่าการบริหารโรงเรียนเป็นกิจกรรมทางการศึกษาที่จะต้องทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

ความสำคัญของศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย
                 สรุปได้ว่า การบริหารสถานศึกษา หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าหรือผู้นำดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กร โดยใช้กระบวนการบริหารกลุ่มบุคคล กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคลให้เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำใหม่ เป็นผู้นำทางความคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การสร้างแรงจูงใจและจัดสรรการใช้ทรัพยากรต่างๆ ให้เป็นกลุ่มงานที่สัมพันธ์กันอย่างดี มีกลังคนที่มีความสามารถพร้อมสร้างบุคลากรให้ทำงานได้อย่างถูกต้องเพื่อให้บุคลากรร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพของงานภายในสถานศึกษาและให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกของสังคม 

ความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา
     จันทรานี  สงวนนาม (2545) กล่าวว่า เพื่อความอยู่รอดขององค์กร การเรียนรู้เพื่อบริหารองค์กร จะช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมายของงานบุคลากรตลอดจนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม
     นงลักษณ์  วิรัชชัย (2545) กล่าวว่า การปฏิรูปสถานศึกษาจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อผู้บริหารผู้บริหารมีคุณลักษณะต่อไปนี้ คือ มีความสามารถทางการบริหารตลอดจนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม
      Mckinson (2550) กล่าวว่า มนุษย์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบริหาร ถึงแม้ว่าคุณค่าของมนุษย์จะเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้และไม่สามารถใช้หลักเกณฑ์กำหนดคุณค่าเช่นเดียวกับวัตถุหรือสินค้าอื่นใด แต่ก็ยังถือว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่มีค่าและมีเกียรติสูงสุด

 สรุปได้ว่าการบริหารสถานศึกษาหรือการบริหารองค์กรสิ่งที่ต้องตระหนักหรือให้ความสำคัญคือการบริหารงานบุคคลเพราะบุคคลเป็นทรัพยากรที่มีค่าในองค์กรที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการต่างๆให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์กรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์กรที่ปฏิบัติงาน เสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ นั้นหมายถึงผู้บริหารจะต้องมีความรู้เรื่องการบริหารเป็นอย่างดี
หลักการ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษา
หลักการบริหารงานบุคคล  
       สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2545)  ให้แนวคิดในการบริหารและการจัดการที่ดี เพื่อมาปรับใช้ในบริบทขององค์กรทางการศึกษา ในประเด็กดังนี้
  1. การกำหนดจุดหมาย ผลที่คาดหวัง หรือภาพความสำเร็จของการบริหารและการจัดการที่ดี (Goal / Expected / Output)
  2. กระบวนการบริหารและการจัดการที่ดี (Process)
  3. ทรัพยากรในการบริหารจัดการที่ดี (Input / Resource)
  4. ระบบควบคุม (Feedback / Control System)
  5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารและการจัดการที่

ขอบข่ายของการบริหาร
          กระทรวงศึกษาธิการ (2546) ได้กำหนดขอบข่ายภาระงานในการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย 5 งาน ได้แก่
  1. การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง
  2. การสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง
  3. การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
  4. วินัยและการรักษาวินัย
  5. การออกจากราชการ
        สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2545) ได้กำหนดขอบข่ายการบริหารงานบุคคลไป
ประกอบด้วย 6 งาน ได้แก่
  1. การวางแผนกำลังคน
  2. การสรรหา
  3. การบรรจุแต่งตั้ง
  4. การพัฒนา
  5. การธำรงรักษา
  6. การให้พ้นจากงาน

        สรุปได้ว่าขอบข่ายของการปฏิบัติงานของสถานศึกษาในการบริหารงานบุคคลนั้นมีภาระงานที่
สำคัญๆที่สถานศึกษาควรปฏิบัติ ประกอบด้วย
    1. การวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง โดยมีการวิเคราะห์ภารกิจและประเมินสภาพความต้องการกำลังคน กับภารกิจของสถานศึกษามีการจัดทำภาระงานสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และแจ้งภาระงาน มาตรฐานคุณภาพงาน มาตรฐานวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ เกณฑ์ประเมินผลงานแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาก่อนมีการมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติงาน
    2. การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง โดยมีการดำเนินการสอบแข่งขัน สอบคัดเลือกและคัดเลือกในกรณีจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษในตำแหน่งครูผู้ช่วย ครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่นในสถานศึกษา

การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์  (Science and arts)
  •      เป็น ศาสตร์ เพราะ มีหลักการ กฎเกณฑ์ และทฤษฏีที่เชื่อถือได้ เกิดจากการศึกษาค้นคว้า
เชิงวิทยาสาสตร์
  •      เป็น ศิลป์ เพราะต้องทำงานกับคน ต้องเลือกใช้วิธีการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ต้องฝึกให้
ชำนาญ จึงต้องประยุกต์ใช้อย่างมีศิลป์

ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษา
ความหมายของทฤษฏี
  - กลุ่มของข้อเสนอ หรือ ของมโนทัศน์ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
- เป็นข้อสรุปอย่างกว้างๆ ทั่วไปที่พรรณนาและอธิบายถึงพฤติกรรมละปรากฏการณ์อย่างเป็นระบ[

ความจำเป็นในการศึกษาทฤษฏี
     -ทฤษฏีเป็นพื้นฐานของการกำหนดสมมติฐานเพื่อทดสอบปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ ในเมื่อทฤษฏีอยู่
บนพื้นฐานของตรรกวิทยา มีเหตุผลแม่นยำ ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติก็จะมีเหตุผลและถูกต้องเช่น
เดียวกัน 
      -ทฤษฏีเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัย โดยกำหนดทิศทางของการวิจัย

    
พัฒนาการของทฤษฏีทางการบริหาร




ทัศนะดั้งเดิม (Classical viewpoint)
  •        การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์
                      Frederick. W. Taylor (เทเลอร์) บิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ ได้เสนอ 
หลัก 4 ประการ
                          1. ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ มีการแยกวิเคราะห์งาน
                          2. มีการวางแผนการทำงาน
                          3. คัดเลือกคนทำงาน
                          4. ใช้หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ
  •         การจัดการเชิงบริหาร
                      Henry Fayol : หลักการบริหาร 14 หลักการ และขั้นตอนการบริการ POCCC
                      Chester Barnard : ทฤษฏีการยอมรับอำนาจหน้าที่
              Luther Gulick : ใช้หลักการของ Fayolโดยใช้คำย่อว่า POSDCoRB ซึ่งเป็นหน้าที่
 7 ประการ

  •         การบริหารแบบราชการ
                    Max Weber พัฒนาหลักการจัดการแบบราชการ
                         1. มีกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุมการตัดสินใจ
                         2. ความไม่เป็นส่วนตัว
                         3. แบ่งงานกันทำตามความถนัด ความชำนาญเฉพาะทาง
                         4. มีโครงสร้างการบังคับบัญชา
                         5. ความเป็นอาชีพที่มั่นคง
                        6. มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจ โดยมีกฎระเบียบรองรับ
                        7. ความเป็นเหตุเป็นผล
ทั้ง 3 ทฤษฏี มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
- ความเหมือน
1. ด้านโครงสร้าง เน้นการแบ่งงานกันทำ การมีสายการบังคับบัญชา กำหนดหน้าที่ของการบริหาร 
เน้นหลักการ
2. ด้านผู้ปฏิบัติ เหมือนเครื่องจักร เน้นสิ่งจูงใจด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในงาน ความต้องปรับตัว
เข้ากับงาน
 3. ด้านผู้นำ ให้ความสำคัญกับบทบาทผู้นำ เอกภาพ ระบบคุณธรรม เป้าหมายองค์กรสำคัญกว่าบุคคล
4. ด้านการตัดสินใจ เน้นความเป็นเหตุผล ประสิทธิภาพกำไi
ความต่าง
Taylor : กำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุด The one best way
Fayol   : เน้นหลักการ 14 หลักการ
Weber   : เน้นระเบียบข้อบังคับ มีเกณฑ์ประเมินผล

ทัศนะเชิงพฤติกรรม (Behavioral viewpoint)
  •        ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก
     Hugo Munsterberg บิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม  ใช้หลักจิตวิทยาในการจำแนกคนงานให้
เหมาะสมกับงาน
     Mary Parker Follett นักปรัชญาแห่งเสรีภาพของบุคคล เน้นสภาพแวดล้อมในการทำงานและการ
มีส่วนร่วม
  •        การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น
       การทดลองของบริษัท เวสเทิร์น อิเล็กทริก ที่เมืองฮอว์ธร์น เพื่อศึกษาเกี่ยวกับผลของแสงไฟ
ต่อประสิทธิภาพในการทำงาน  ในช่วงท้ายของการทดลอง Elton Mayo ร่วมทำการทดลอง สรุปข้อ
ค้นพบว่า
- เงินไม่ใช้สิ่งจูงใจสำคัญเพียงอย่างเดียว
- กลุ่มไม่เป็นทางการมีอิทธิพลต่อองค์การ
  •        ความเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์
Abraham Maslow :  มาสโลว์
ทฤษฏีลำดับขั้นความต้องการ
Douglas McGregor : แมคเกรเกอร์
  •        ทฤษฏี X และทฤษฏี Y
หลักพฤติกรรมศาสตร์
- เป็นสมมติฐานเกี่ยวกับทัศนะเกี่ยวกับผู้บริหารที่มีต่อคนงาน
- ทัศนะของผู้บริหารจะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริหารงานของเขาด้วย
- เขาเห็นว่า องค์การแบบเดิม (รวมศูนย์ สื่อสารบนลงล่าง) ไม่ช่วยให้เกิดผลผลิต แต่สะท้อนธรรมชาติ
ของมนุษย์ เรียกว่าทฤษฏี X
- ทฤษฏี X มองว่าคนไม่ชอบทำงาน เลี่ยงความรับผิดชอบ
- ไม่ทะเยอทะยาน ชอบให้สั่งการ ต้องใช้เงินจูงใจ ต้องควบคุมมาก
- ทฤษฏี Y มองว่า คนจะให้ความร่วมมือถ้าพอใจในสภาวะการทำงาน
- คนขยันไว้ใจได้ ควบคุมตนเองได้ มีความคิดริเริ่มในการทำงาน ถ้าได้รับการจูงใจที่ถูกต้องจาก
เพื่อนร่วมงาน
- คนจะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

หลักพฤติกรรมศาสตร์  (Behavioral science approach)
          เป็นการนำผลการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาทฤษฏีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ 
จากศาสตร์สาขาต่างๆ เมื่อ
         นำไปทดสอบแล้วจะเสนอให้นักบริหารนำไปใช้ เช่น ทฤษฏีการตั้งเป้าหมาย ของ Locke

ทัศนะเชิงปริมาณ (Quantitative viewpoint)
  •        การบริหารศาสตร์
            มุ่งเพิ่มความมีประสิทธิผลในการตัดสินใจจากการใช้ตัวแบบคณิตศาสตร์และวิธีการเชิงสิติ 
ซึ่งแพร่หลายได้รวดเร็วเนื่องจากความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่าง
ซับซ้อนมากขึ้น
  •        การบริหารปฏิบัติการ
-ยึดหลักการบริหารกระบวนการผลิตและให้บริการ
-กำหนดตารางการทำงาน
-วางแผนการผลิต
-การออกแบบอาคารสถานที่ การประกันคุณภาพ
-การใช้เทคนิคเครื่องมือต่างๆ เช่น เทคนิคการทำนายอนาคต
-การวิเคราะห์รายการ ตัวแบบเครือข่ายการทำงาน การวางแผนและควบคุมโครงการ
  •        ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร
             สารสนเทศบริหารศาสตร์ MIS เน้นการนำเอาระบบข้อมูลสารสนเทศโดยอาศัยเครื่อง
คอมพิวเตอร์มาใช้ในการบริหาร (Computer based information system : CBISs)

ทัศนะร่วมสมัย (Contemporary viewpoint)
  •        ทฤษฏีเชิงระบบ
-มุ่งเน้นกระบวนการมากกว่าผลผลิต
-ประเมินประสิทธิภาพของระบบงาน
-ประเมินเวลา
-ประเมินการใช้งบประมาณ
-ประเมินความถูกต้องของกระบวนการ
-ประเมินผลผลิตหรือผลงาน
  •        ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์
           หลักการบริหารงานที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์หนึ่งๆ เท่านั้นในสถานการณ์ที่ต่างไป 
ผู้บริหารอาจกำหนดหลักการจากการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของแต่ละสถานการณ์เพื่อกำหนด
แนวทางให้เหมาะสมกับโครงสร้าง เป้าหมายและผู้ปฏิบัติงานในองค์การ
  •       ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่
         ทฤษฏี Z  ทฤษฏีการบริหารแบบญี่ปุ่น โดย William Ouchiโดยรวมหลักการบริหารแบบอเมริกัน
รวมกับแบบญี่ปุ่นมีหลักการสำคัญคือ ความมั่นคงในงาน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รับผิดชอบ
ปัจเจกบุคคล เลื่อนตำแหน่งช้า ควบคุมไม่เป็นทางการ แต่วัดผลเป็นทางการ สนใจภาพรวมและ
ครอบครัว

ประเมินตนเอง
มาเรียนตรงเวลา ตั้งใจเรียน แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบ
ประเมินเพื่อน
ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม ตั้งใจเรียน
ประเมินอาจารย์
อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม พูดจาไพเราะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น